ราต่างก็โตมากับการอ่านหนังสือ มีความผูกพันธ์กับการอ่านตั้งแต่เด็ก มีคนบอกไว้ว่าของขวัญที่ดีที่สุดคือการที่เรารักในการอ่าน
The greatest gift is a passion for reading.—Elizabeth Hardwick
เราควรจะอ่านหนังสือเพื่อบริหารสมอง เช่นเดียวกับการที่เราออกกำลังกายเพื่อบริหารร่างกายภายนอกส่วนอื่นๆ
Reading is to the mind what exercise is to the body.—Richard Steele
คนที่ไม่อ่านหนังสือก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่อ่านหนังสือไม่ออก
A person who won’t read has no advantage over one who can’t read.—Mark Twain
ไม่มีใครไม่รู้จัก Bill Gates กับ Steve Jobs แต่น้อยคนที่จะรู้จัก Alan Kay เค้าคือคนที่พูดไว้ว่า วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำนายอนาคตคือการสร้างมันขึ้นมา
The best way to predict the future is to invent it.
Alan Kay คือคนที่ให้กำเนิด OOP และภาษา SmallTalk เป็นคนที่ริเริ่ม Window Graphic User Interface
Alan Kay คือหนึ่งในคนที่รักการอ่านเป็นอย่างยิ่ง เค้าอ้างว่าเค้าอ่านหนังสือมามากกว่า 20000 เล่ม และตอนเด็กก็อ่านหนังสือจบมากกว่า 150 เล่มก่อนเข้าเรียนด้วยซ้ำ
อีกคนที่เป็นคนรักการอ่านคือ Warren Buffett การมีนิสัยรักการอ่านทำให้รวย มีความคิดเฉียบคม ฉลาดรอบรู้ และมีวุฒิภาวะทางอารมณ์
ไม่ต้องสนใจค่าเฉลี่ยของการอ่านหนังสือของทั้งประเทศ อย่าทำตัวเป็นคนกลางๆ แต่ขอให้หันไปมองคนที่เค้าประสบผลสำเร็จ แล้วดูว่าเค้าอ่านหนังสือไปเท่าไหร่
คุณภาพมักจะสำคัญกว่าปริมาณ ประเภทของหนังสือที่เราอ่าน มีความสำคัญมากกว่าจำนวนหนังสือที่เราอ่าน และมันไม่สำคัญหรอกว่าจะมีจำนวนตัวหนังสือผ่านตาเราไปเท่าไหร่ สิ่งที่สำคัญกว่าคือจำนวนที่มันเข้าหัวเรามากกว่า
มีงานวิจัยที่จัดทำขึ้นเพราะต้องการรู้ว่า การอ่านนิยายจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสมองในช่วงเวลาพักยังไงบ้าง นักวิจัยได้ขอให้อาสาสมัครเข้าร่วมทดลองอ่านนิยาย จากนั้นจึงสแกนสมองเพื่อตรวจหาค่าการเปลี่ยนแปลง และเปรียบเทียบกับข้อมูลของคนที่ไม่ได้อ่าน
จากผลการวิจัย เค้าตรวจพบการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดของการทำงานและโครงสร้างของสมองจากการอ่านนิยาย การอ่านนอกจากจะเสริมสร้างบริเวณที่ทำหน้าที่ประมวลผลทางภาษาแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อบริเวณที่ทำหน้าที่เป็นจุดเริ่มต้นของการรับความรู้สึกอีกด้วย
วารสาร Trends in Cognitive Sciences ได้ศึกษาถึงผลกระทบของการอ่านนิยายต่อทักษะทางสังคม และพบว่าการอ่านนิยายทำให้ผู้อ่านเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นมากขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้เปลี่ยนแปลงความคิดของผู้อ่านด้วยได้ด้วย ซึ่งเกิดขึ้นจาก
มีการศึกษาถึงผลของการอ่าน ที่มีอาสาสมัครชายและหญิง อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ทั้งหมด 3635 คน โดยให้อาสาสมัครแต่ละคนบันทึกและส่งรายงานการอ่านหนังสือของตัวเอง ได้มีการบันทึกอัตราการเสียชีวิตของกลุ่มอาสาสมัคร ตลอดระยะเวลาติดตามผล 12 ปี
ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มคนที่อ่านหนังสือสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมงครึ่ง จะมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่อ่านหนังสือถึง 17% ส่วนกลุ่มคนที่อ่านหนังสือมากกว่าสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมงครึ่ง ก็จะมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าถึง 23%
และนอกจากนั้น 12 ปีหลังการศึกษาสิ้นสุดลง ยังพบว่ากลุ่มคนที่อ่านหนังสือมีอายุยืนกว่าคนที่ไม่อ่านเกือบ 2 ปี
สำหรับคนที่บอกว่าไม่มีเวลาอ่านหนังสือคงต้องทบทวนความคิดใหม่แล้ว เพราะยิ่งเราอ่านหนังสือ เราก็ยิ่งมีเวลามากขึ้น
ความเครียดเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตมากถึง 60% ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง 50% และโรคหัวใจมากถึง 40%
สาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียดได้แก่ ปัญหาส่วนตัวและปัญหาทางสังคม
ปัญหาส่วนตัว เช่น ปัญหาสุขภาพ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความเชื่อความขัดแย้ง ปัญหาทางอารมณ์ เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในชีวิต และปัญหาเรื่องเงิน
ปัญหาทางสังคม เช่น สภาพแวดล้อมในการทำงาน สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย และความแตกต่างในสังคมที่ทำให้เกิดการเหยียดหยามกีดกัน
มีการศึกษาถึงผลของการอ่านที่ช่วยลดระดับความเครียดลงได้ถึง 68% ซึ่งมากกว่าการฟังเพลง การดื่มชา และการเดินที่ช่วยลดระดับความเครียดลงได้ 61% 54% และ 42% ตามลำดับ
ส่วนการเล่นเกมช่วยลดความเครียดลงได้ 21% ก็จริง แต่อัตราการเต้นของหัวใจจะไม่ได้ลดลง
จะเห็นว่าการอ่านหนังสือช่วยลดความเครียดได้ดีที่สุด สิ่งที่เราต้องทำก็เพียงแค่ หาที่เงียบๆ แล้วหยิบหนังสือมาอ่านแค่ 6 นาที ก็สามารถทำให้ลดอัตราการเต้นของหัวใจและความตึงเครียดลงได้
มีรายงานจากการวิจัยของ Dr Josie Billington (The University of Liverpool) ที่นำเสนอผลของการอ่านหนังสือที่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในชีวิต ที่ทำให้เรามีความสุข มีแรงบันดาลใจ และช่วยผ่อนคลายความเครียดลงได้
จำนวนคนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการอ่านให้ทำสิ่งต่างๆ
จำนวนคนที่ได้รับผลกระทบทางอารมณ์จากการอ่าน
จำนวนคนที่ได้รับผลกระทบจากการอ่านและทำให้เปลี่ยนความเข้าใจ
สามารถเข้าไปอ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่นี่
บางคนอ่านหนังสือก่อนนอนเพราะทำให้ง่วงและหลับง่ายขึ้น คงเป็นเพราะการอ่านช่วยลดระดับความเครียดลง พอทำบ่อยๆ จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันก็ช่วยให้เราเตรียมพร้อมเข้าสู่ภาวะง่วงนอนได้เร็วขึ้น
เห็นประโยชน์ของการอ่านเยอะแบบนี้ ก็ต้องหาเวลาอ่านหนังสือบ้างแล้วล่ะ เริ่มต้นจากหนังสือที่อ่านง่ายๆ ไม่ต้องรีบอ่านให้จบ ค่อยๆ อ่านด้วยความเร็วคงที่ แล้วเราจะได้รับประโยชน์จากการอ่านได้เต็มที่
Berns Gregory S., Blaine Kristina, Prietula Michael J., and Pye Brandon E.. Brain Connectivity. December 2013, 3(6): 590-600. https://doi.org/10.1089/brain.2013.0166
Honor Whiteman. How fiction might improve empathy. http://www.medicalnewstoday.com/articles/311773.php
Avni Bavishi., Martin D. Slade., Becca R. Levy. Social Science & Medicine. http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0277953616303689
New study reveals that reading for pleasure empowers us to make positive life changes https://readingagency.org.uk/news/media/new-study-reveals-that-reading-for-pleasure-empowers-us.htm